ปีแอร์ ลัมแบรต์ เดอ ลา ม็อต ข้าราชการตุลาการหนุ่ม อายุเพียง 25 ปี เป็นที่ยกย่องนับถือจากบุคคลทั่วไป ..แต่วันแล้ววันเล่าของการทำงานเพื่อเกียรติยศชื่อเสียงบนโลกนี้ กลับทำให้ท่านรู้สึกเอือมระอาอย่างยิ่งกับกลุ่มผู้แสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเอง จึงหมดความเชื่อถือในกิจกรรมทางการเมือง และหันมาปฏิบัติตามคุณค่าที่แท้จริงของคริสตศาสนา และยกฐานะของคนจนให้ดีขึ้น ได้รับแรงบันดาลใจให้เข้าหาพระเจ้าเพียงผู้เดียว

ตามธรรมดาท่านชอบแต่งตัวเรียบร้อย ดูดี แต่พระเป็นเจ้าทรงพอพระทัยให้ท่านละทิ้งความทะนงตน ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดอุบัติเหตุกับท่าน โดยไม่คาดฝัน ทำให้ท่านได้รับบทเรียนที่มีค่าจากอุบัติเหตุครั้งนั้น คือการเอาชนะตนเองอย่างสิ้นเชิง

วันหนึ่งท่านได้รับเชิญไปร่วมประชุมเพื่อลงชื่อในเอกสารการสมรสของญาติ ที่เมืองรูอัง ท่านแต่งกายเรียบร้อย สะอาดสะอ้านเหมือนเคย และขี่ม้าไป ระหว่างทางม้าเกิดตื่นตระหนก อย่างไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ท่านซึ่งไม่ทันระวังตัวกระเด็นตกลงไปในห้วย เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนสกปรก เวลานั้นท่านระลึกถึงนักบุญเปาโลตอนตกม้า และพูดกับตัวเองว่า "นี่แหละการโอ้อวดของเจ้า ทำให้เจ้าต้องอับอาย....." ท่านกล้าเข้าไปในที่ประชุมในสภาพนี้ หลังจากชนะใจตัวเองในเรื่องนี้ได้แล้ว ทำให้ท่านสามารถปฏิบัติคุณธรรมภายนอกส่วนใหญ่ได้อย่างง่ายดาย แทบจะไม่รู้สึกว่ายากที่จะปฏิบัติเลย และประทับใจในพระเป็นเจ้าด้วยความกตัญญู ที่พระองค์ประทานพระหรรษทานที่ท่านเพิ่งจะได้รับ จึงตัดสินใจใหม่จะอุทิศตัวแด่พระเป็นเจ้า หรือไม่สงวนอะไรไว้สำหรับตนเองเลย

ครั้งหนึ่ง ท่านลัมแบรต์เดินทางไปเข้าเงียบที่เมืองคัง ซึ่งบางคนคิดว่าการเข้าเงียบนี้เป็นเรื่องไม่สมควรและน่าขบขัน ตามที่คุณพ่อบรีซาซีเยร์เล่าไว้ว่า.. คนที่เฉลียวฉลาดและมีชีวิตที่ดีท่านหนึ่ง ส่งคนไปบอกท่านลัมแบรต์ว่าไม่เห็นด้วยกับการปฏิบัติของท่าน คนรับใช้เกิดความรำคาญที่ไม่เห็นท่านกลับบ้าน จึงไปหาและขอลาออก ทำให้ท่านรู้สึกกำลังจะตาย เพราะเครื่องเรือนกำลังถูกปล้น (ตามที่ได้บันทึกไว้ในอนุทิน)

ความโดดเดี่ยว ไม่มีคนเข้าใจ การถูกทอดทิ้ง แม้แต่การถูกทรยศ เป็นความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นตามธรรมดา ที่หนักกว่าคือ "ความสงสัย" เป็นสิ่งที่ทดลองท่านอย่างหนัก ..ไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ ไม่มีอำนาจ บางทีในไม่ช้าจะไม่มีมิตร...ท่านลังเลใจในการตัดสินใจหันหลังจากโลกอยู่หลายเดือน แต่ที่สุด ท่านละทิ้งความเย่อหยิ่งเพื่อบรรลุถึงการเสียสละ ซึ่งไม่ได้สละเพียงทรัพย์สมบัติด้านวัตถุเท่านั้น แต่ได้สละความสามารถของตนเองเพื่อพระประสงค์ของพระเป็นเจ้าเพียงผู้เดียว ท่านเริ่มลงมือสร้างมนุษย์ผู้เป็น "คนใหม่จากภายใน ซึ่งภายนอกยังเป็นซากมนุษย์เก่า"

พลังรัก..ในพระเป็นเจ้า สร้างอัศจรรย์ และเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆมากมาย อย่างที่ไม่คาดฝัน ทุกสิ่งผ่านไปได้โดยอาศัยพระองค์เพียงผู้เดียว และเราเป็นผู้ร่วมมือ แบบอย่างของพ่อลัมแบรต์ นำมาซึ่งหนทางแห่งชีวิตนักบวชที่ต้องสละตนเอง สำคัญที่สุด คือ สละตัวตนและน้ำใจ เพื่อจะมองเห็นน้ำพระทัยที่แท้จริงของพระองค์

ชีวิตแห่งการถวายตัวตนทั้งครบแด่พระเป็นเจ้า ต้องละทิ้งการงาน ชีวิตฝ่ายข้างโลก แม้จะเป็นงานที่สำคัญ เพื่อช่วยเหลือสังคม เอาใจใส่เพื่อนมนุษย์ แต่ที่สุดแล้ว..ต้องมีช่วงเวลาที่จะกลับมาเพิ่มพลังฝ่ายจิต ดังที่พ่อลัมแบรต์รักการเข้าเงียบ และเฝ้าศีลมหาสนิทเป็นที่สุด เพราะหากมีพลังกาย ใจ เต็มเปี่ยม งานของพระที่จะยังคงต้องการผู้สานต่อ ก็จะก้าวต่อไป ทั้งผู้ให้และผู้รับก็จะสัมผัสถึงพระพรที่คงอยู่เสมอ...

กลับสู่ "ลูกก้าวตาม...พ่อลัมแบรต์"