ครั้งหนึ่ง เมื่อถึงคราวที่ต้องไปเข้าเงียบที่สวนเจ็ดริน จังหวัดเชียงใหม่ ผมและเพื่อนๆ ก็ไปด้วยกันทั่งรุ่น ไม่ว่าเพื่อนหรือรุ่นไหนๆ คนที่ร่วงหล่นลงมาอยู่ด้วยกัน ทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ พวกเราก็เรียก "ไอ้เพื่อนกันทั้งหมดนั่นแหละ"

เมื่อถึงเวลาฟังเทศน์ คุณพ่อผู้เทศน์ถามว่า มีใครเอาพระคัมภีร์มาบ้าง นิ่ง...เพราะมีส่วนน้อยที่พกติดตัวมาด้วย แต่ละคนต่างมองตากัน สีหน้าเหมือนคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทั้งๆที่เป็นเพื่อนกันแท้ๆ ถึงเวลานี้ตัวใครตัวเผือก อมยิ้มไปตามๆกัน ก็โตจนป่านนี้แล้ว ยังไม่เห็นความสำคัญของพระคัมภีร์อีก ไม่อยากบอกเลย..ผมก็เป็นคนหนึ่งในนั้นด้วย...

คุณพ่อผู้เทศน์เลยถือโอกาสแนะนำว่า คราวหน้าคราวหลัง เวลาจะเดินทางไปไหนมาไหน อันดับแรก ให้จัดหนังสือพระคัมภีร์ และหนังสือทำวัตร ลงในกระเป๋าเดินทางเสียก่อน แล้วที่เหลือ พอมีที่ว่างอีกนิดหน่อย จึงจัดของใช้อื่นๆ ที่จำเป็นและเสื้อผ้าสักสองสามชุดลงไปก็พอ

ดูเหมือนเราจะทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่คุณพ่อแนะนำจริงๆ คือ ใส่เสื้อผ้าชุดต่างๆ ชุดไปเที่ยว ชุดเล่นกีฬา ชุดนอน และของใช้อื่นๆ ที่เราคิดเอาเองว่าจำเป็นลงไปก่อน ส่วนหนังสือพระคัมภีร์และทำวัตรที่จำเป็นแน่ๆนั้น ต้องชั่งใจดูก่อนว่ามีพื้นที่ว่างพอหรือไม่ แล้วค่อยใส่ลงไปทีหลัง แต่ถ้ากระเป๋าเดินทางเต็มแล้ว พระคัมภีร์กับทำวัตรก็อดไปเที่ยว แถมยังคิดอีกว่า ดีเหมือนกัน จะได้ไม่หนักกระเป๋า ไปหาเอาดาบหน้าดีกว่า เป็นงั้นไป...ชีวิต... จึงอยากจะขอเล่าเรื่องพระเยซูเจ้า ผู้ให้ความสำคัญมากกับการสนใจพระวาจาของพระเจ้า แต่ผมไม่เรียกเรื่องนี้ว่า "ผู้หว่าน" ผมเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า "นิทานเรื่องเมล็ดพืชกับดินริมทะเลสาบ" จะได้แปลกหูเพื่อดึงดูดความสนใจ...

 

พระองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ที่ริมทะเลสาบกาลิลี ที่นั่นประชาชนทำการเกษตร จึงเหมาะมากที่จะเล่าเรื่องนี้ เพราะจะทำให้คนฟังเข้าใจได้ง่ายๆ และอีกอย่าง ผมต้องการเน้นที่ตัวเราแต่ละคน ซึ่งเปรียบเสมือนดินประเภทต่างๆ ที่มีความสามารถในการเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งพระวาจาต่างกันไป

เรื่องมีอยู่ว่า..ครั้งหนึ่ง พระเยซูเจ้าตรัสว่า "จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านพืช ขณะที่เขากำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด บางเมล็ดตกลงบนพื้นหินที่มีดินเล็กน้อย ก็งอกขึ้นทันที เพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกเผาและเหี่ยวแห้งไป เพราะไม่มีราก บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมไว้ ทำให้เหี่ยวเฉาตายไป บางเมล็ดตกลงในที่ดินดี จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง ใครมีหูก็จงฟังเถิด" (มธ.13:3-9)

 

เราอาจแบ่งผู้ที่ฟังพระวาจาของพระเจ้า เป็น 4 ประเภท คือ

1. ดินริมทางเดิน หมายถึง คนที่ขาดสมาธิในการตั้งใจฟังพระวาจาของพระเจ้า คนที่ฟังแบบขอไปที ไม่ให้ความสนใจ ปล่อยให้จิตใจล่องลอย ให้ความคิดเรื่องอื่นเข้ามาแทรกแซง ในที่สุดก็ลืมทุกอย่าง ประเภทเข้าหูซ้าย ยังไม่ทันทะลุหูขวา ก็ไหลวนออกมาทางหูซ้ายเหมือนเดิม เรียกว่าเข้ามาทางไหน ก็ออกไปทางนั้น

2. ดินน้อยนิดที่อยู่บนหิน หมายถึง คนที่ขาดความเพียรอดทน ตอนแรกก็ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจดี หรือแกล้งทำเป็นฟัง อันนี้ก็ไม่รู้ ผงกหัวตามคำเทศน์สอน ทำท่าเข้าอกเข้าใจอย่างดี แต่พอออกไปนอกวัด เจอสภาพแวดล้อมที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ความคิดก็เปลี่ยน ยิ่งโดนความยากลำบากเข้ามาทับถมชีวิต ก็ยิ่งเกิดความท้อแท้ใจ จนลืมปฏิบัติตามสิ่งที่พระวาจาได้สอนสั่งไว้ เพราะขาดการหยั่งรากลึก

3. ดินที่มีพงหนามปกคลุม พระเยซูเจ้าทรงพระปรีชาจริงๆ ข้อนี้ดูเหมือนจะเข้ากับชีวิตของคนในยุคสองพันนี้ดีแท้ๆ ยุคสมัยนี้ มองไปทางไหนก็มีแต่หนามทั้งนั้น ปกคลุมอยู่รอบด้าน ทั้งวัตถุนิยม บริโภคนิยม รวมถึงความวุ่นวายนิยม สิ่งต่างๆเหล่านี้ ได้สกัดกั้น ไม่ให้พระวาจาเติบโต อยากจะงอก ก็งอกไม่ขึ้น ชีวิตฝ่ายจิตต้องบิดๆ เบี้ยวๆ งอๆ

4. ดินดีที่ร่วนซุย คนที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและจะเกิดผลได้นั้น ดูเหมือนว่าคนนั้น ต้องมีใจที่พร้อม และอุดมไปด้วยแร่ธาตุและน้ำ ที่สามารถหล่อเลี้ยงให้พระวาจาหยั่งรากลึกในจิตใจ แต่จะมีสักกี่คน ที่อ่านพระวาจาของพระเจ้า แล้วเก็บพับพระวาจาที่มีความหมายต่อตนเองไว้ในกระเป๋าหัวใจ ไปไหนมาไหนก็ควักออกมาอ่าน และปฏิบัติตามทุกๆวัน

จะสังเกตได้ว่า แม้ผู้ที่มีจิตใจเหมือนดินดี ก็ใช่ว่าจะเกิดผลมากมายเท่าเทียมกัน บางคนเกิดผลมาก บางคนเกิดผลน้อย ที่พระองค์ต้องการ คือ ให้นำพระวาจาเข้าไปอยู่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน และให้เป็นส่วนที่สำคัญด้วยนะ อาจจะได้ผลมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับกึ๋นและสถานการณ์ชีวิตของแต่ละคน

สิ่งสำคัญ ขอให้เกิดผลบ้าง อย่างน้อยเมื่อพระวาจารดลงมาที่หัวใจของเรา ก็ขอให้หัวใจเรามีส่วนที่เปียกน้ำบ้างก็ยังดี เพราะมันคือ "หัวใจ" ไม่ใช่ "หัวเป็ด" แต่ถ้าหัวใจของคนฟังพระวาจาเป็นหัวเป็ดกันหมด คนเทศน์สอนก็อาจจะเกิดอาการ "เซ็งเป็ด" ได้เหมือนกัน เพราะรดเท่าไหร่ก็ไม่เปียกสักที

อย่าลืม! เมื่อถึงเวลาจัดกระเป๋าเดินทาง ก็ขอให้พระวาจาของพระเจ้าเป็นเรื่องจำเป็น และต้องพกติดตัวไว้ตลอด ได้เวลาจัดกระเป๋าเดินทางของชีวิตแล้ว... ขอให้ทุกท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ... เมืองสวรรค์เป็นของทุกคนที่เชื่อ และปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์...

 

- กลับสู่..พระวาจาน่าคิด -